Harn2.com ศูนย์รวมของเล่น เลโก้ ( Lego ) นาโนบล็อค ( Nano Block ) โมเดลแผ่นเหล็ก ( Metallic Nano Puzzle )
 
Home About us Products Blog Webboard Contact us
   

 

 

ญี่ปุ้น...ญี่ปุ่น

นับเป็น Blog แรกในชีวิตที่เขียน พอเขียนครั้งแรกเลยขอเขียนถึงประเทศที่รักสักหน่อย ใครจะบอกว่าไม่รักประเทศตัวเองก็ไม่สน ประเทศบ้านเกิดเราก็รัก (รักที่จะอยู่) แต่ประเทศญี่ปุ่นเรารักที่จะเที่ยว ...เอ้าร่ายซะ...  กลับเข้าเรื่องดีก่า ถ้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่พอเดินเข้าร้านหนังสือก็สามารถซื้อได้เป็นสิบๆ เล่ม ทั้งๆที่เนื้อหาแทบจะไม่ต่างกันเลย (แต่ก็ยังบ้าซื้อมันทุกเล่มและยังจะซื้อมันต่อไป... ^_^ ) สรุปที่ซื้อมาแทบตายกลับมีเล่มประจำตัวที่คิดว่าใช้ได้อยู่เล่มเดียว ไม่บอกหรอกว่าเล่มไหนเดี๋ยวจะเป็นการโฆษณาหนังสือให้เค้า (ใบ้ว่าชื่อหนังสือมีชื่อบริษัทรถไฟของญี่ปุ่นด้วย) และพออ่านเข้าหลายๆเล่ม ก็เริ่มมีความคิดว่าทำไมเค้าถึงเขียนพิมพ์เดียวกันหมดเลยนะ ทำไมไม่เขียนถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้หรือต้องรู้จริงๆ มั่ง เลยเกิดอาการอยากเขียนมั่ง (ดีไม่ดีไม่รู้ ก็แค่อยาก)

            ไปญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ต้องคิดเลยคือ จะไปเมื่อไหร่ และไปกี่วัน เพราะญี่ปุ่นถ้าไปช่วงเวลาต่างกันความรู้สึกก็ต่างกัน เพราะเค้ามีหลายฤดู (ไม่เหมือนบ้านเราที่มาเมื่อไหร่ก็ได้เพราะมีแค่ 2 ฤดู คือ ร้อน กับ ร้อนมากกกกก..... อันนี้ผู้ปกครองควรพิจารณาเอาเองนะว่านะสอนเด็กเรื่องฤดูยังไง) พอสรุปได้แล้วก็เริ่มหาตั๋วเครื่องบิน แนะนำว่าควรจะหาล่วงหน้าสัก 3 – 4 เดือน เพราะถ้าไปหาเอาใกล้ๆ อาจจะหืดขึ้นคอได้ ทางที่ดีเวลาเลือกสายการบินควรเปรียบเทียบหน่อยก็ดี เช่น สายการบินไทย (แพงโคตร แต่ดีตรงที่สนับสนุนคนไทย...รึเปล่า) ให้น้ำหนักได้ 20 โล แต่เกินให้ได้เป็น 25 โล (ได้ข่าวมาว่าจะขึ้นให้เป็น 30 โล สำหรับคนที่มาจากญี่ปุ่น ต้องลองดูกันไป) Delta เป็นสายการบินของอเมริกา (รึเปล่า...) ที่ให้น้ำหนักดีมาก แต่ราคาก็ไม่ใช่ถูกนะ ทางสายการบินให้โหลดกระเป๋าได้ 2 ใบ (ย้ำ 2 ใบเท่านั้นนะ) แต่ใบละไม่เกิน 23 โล (เค้าคงจะห่วงเจ้าหน้าที่เค้ามั้ง เลยไม่ให้ยกของหนัก... น่ารักจริงๆ) เท่ากับเราจะโหลดได้คนละ 46 โล ส่วนถ้าอยากได้แบบถูกจริงๆ ก็ต้องยอม Transit เช่น คาเธ่ย์ ก็จะมีราคาแบบ Transit ฮ่องกง หรือ Macau Air ก็จะต้อง Transit ที่ Macau ราคาก็จะอยู่หมื่นต้นๆ อ้อ Delta transit เกาหลีก็มีนะ แต่จะอยู่หมื่นกลางๆ ถึงปลาย เลือกกันเอาเองแล้วกัน พอมีตั๋วเครื่องบินในดวงใจแล้วก็ต้องมาคิดอีกเรื่อง ว่าจะไปเมืองไหนมั่ง เพื่อ plan การเดินทางและโรงแรม โดยเราควรที่จะเปิดดูราคาโรงแรมคร่าวๆ ก่อนว่าราคาเรารับได้หรือเปล่า แล้วค่อยคิดที่จะจ่ายค่าตั๋ว เพราะถ้าเกิดไปตรงกับช่วงวันหยุดของคนญี่ปุ่นโรงแรมก็จะแพงขึ้นเหมือนกัน และเมื่อถึงเวลานั้นเราอาจจะเป็นเหมือนที่ว่า ...กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็แพงชิบเป๋ง... แล้วจะคิดหนัก

            สองหาโรงแรม ทุกครั้งเวลาที่ไปต่างประเทศจะมีคนพูดเสมอว่า โรงแรมมีไว้นอนจะหาดีๆไปทำไม?????” ขอเถียงสุดใจ ใช่จริงอยู่ว่าการไปเที่ยวทุกครั้งเราจะเข้าโรงแรมดึกๆ และออกตอนเช้าเพื่อเที่ยวให้คุ้ม แต่ขอถามนะว่าเวลาที่เรากลับมาจากการเที่ยวแบบขาลาก เราอยากจะเจอห้องนอนแบบไหนที่ทำให้เราชาร์ตพลังกลับมาได้เต็มเพื่อวันพรุ่งนี้ได้ดีกว่ากัน ระหว่างห้องดีๆ เตียงนุ่มๆ (อาจมีอ่างให้แช่ตัวหรือแช่เท้าแก้ปวดเป็น Option เสริม) กับ ห้องเล็กๆ เตียงแข็งๆ สภาพภายนอกไม่เจริญตา มาถึงตรงนี้อาจมีคนเถียงว่า ก็ฉันไม่มีเงินนี่ แต่อยากจะบอกกลับว่า เราก็ไม่ได้บอกว่าคุณต้องเลือกโรงแรม 5 ดาว คืนเป็นหมื่นนี่แค่โรงแรม 3 ดาว คืนละ 2 – 4 พันก็พอ เราจะไปที่ไหนก็แล้วแต่ต้องคิดว่าเราไปเพื่องาน หรือเพื่อเที่ยว ถ้าไปเพื่องานต้องทำยังไงก็ได้ให้ถูกที่สุด แต่ถ้าไปเพื่อเที่ยวก็ต้องเที่ยวก็ต้องให้เราสบายและสนุกที่สุด ถ้าลำบากก็อย่าไปเลย (เอาคำพี่เขยมาใช้ ^_^) และขอแนะนำอีกอย่างคือ ไม่ว่าจะไปไหน พยายามเลือกโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟให้มากที่สุด เพราะเวลาที่เราเที่ยวมาเหนื่อยๆ เห็นโรงแรมจะเหมือนเห็นสวรรค์เลย

            สาม หาตั๋วรถไฟ ( JR ) ตั๋วรถไฟ JR มี 2 ประเภท คือ Green กับ Ordinary มันก็เหมือนกับตั๋ว Economy กับ Business class นั่นแหละ ตามความคิดจากที่เคยนั่งมามันก็สบายกว่าจริงๆ นั่นแหละ แต่ Ordinary ก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น จะเสียแพงกว่าไปใย... การซื้อ JR นั้นจะต้องซื้อจากที่ไทยไปและออกตั๋วที่โน่น ซึ่งมีหลายบริษัทมากที่ขายโดยเราสามารถถามเพื่อเปรียบเทียบราคาได้เลย บางบริษัทสามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายเป็นเงินไทย หรือเงินญี่ปุ่น (ส่วนตัวจะเลือกเงินญี่ปุ่น เพราะมันจะขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการหาเรทแลกเงิน)... กลับมาต่อ พล่ามไปไกลไม่ได้เรื่องสักที คือการจะตัดสินใจซื้อ JR นั้น เราจะต้องระบุว่าเราจะเอาแบบกี่วัน 7, 14 หรือ 21 ซึ่งมาถึงตรงนี้ เราอาจจะต้องตัดสินใจว่าเราจะไปที่ไหนมั่ง เพื่อเปรียบเทียบถึงความคุ้มค่าของ JR เช่น ถ้าเราจะอยู่แค่ โตเกียว, โอซาก้า หรือ เกียวโต ก็อย่าซื้อเลย เพราะในโตเกียวอาจจะได้ใช้ JR เพื่อขึ้นรถไฟฟรี (ของบริษัท JR เท่านั้น) แต่รถไฟใต้ดินเป็นของ Metro กับ Toei ซึ่ง JR ใช้ไม่ได้ ส่วนโอซาก้ายิ่งแล้วใหญ่ รถไฟที่เป็นของ JR แทบจะไม่มี (ไม่ได้บอกว่าไม่มีนะ แต่ไปไม่ได้ทุกที่หรือถ้าจะไปก็ต้องลำบากหลายต่อมาก หรือเดินไกลมากกกกก.......) และเกียวโตนั้นไม่ต้องพูดถึง เป็นเมืองที่ใช้รถเมล์ในการเที่ยวสถานที่ต่างๆอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าเราไม่ได้วางแผนที่จะย้ายเมืองเที่ยวบ่อยๆ ก็อย่าซื้อเลยไม่คุ้มหรอก แต่ถ้าเรามีแผนที่จะไปเที่ยวเมืองต่างๆ ด้วยก็ต้องวางแผนเมืองที่จะไปดีๆ พยายามอย่าให้โอซาก้า หรือเกียวโตมาอยู่ในวันที่จะใช้ JR (แต่ถ้าใครไม่สนใจคิดว่าไม่เป็นไรก็แล้วแต่นะ จำไว้ JR จะใช้คุ้มก็ต่อเมื่อเดินทางออกนอกเมืองบ่อยๆ น้า) ขอเสริมอีกนิดว่าใครที่ซื้อ JR แล้วห้ามลืมเอาสลิปไปเด็ดขาด เพราะเคยเจอคนไทยไปโวยวายกับเจ้าหน้าที่แลกตั๋วว่าตัวเองซื้อตั๋วแล้วแต่ลืมใบไว้ที่บ้าน แล้วจะให้คนถ่ายรูปส่งมาให้ดู หรือจะให้เอเจนท์โทรมายืนยัน พอเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่ได้ก้อโวยวาย และบอกว่าจะซื้อใหม่ (อย่างที่บอกไปนั่นแหละว่าต้องซื้อที่ไทยที่ญี่ปุ่นไม่มีขาย) สุดท้ายก้อไม่ได้ตามระเบียบ พอตอนหลังได้คุยกับเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าเค้าให้ไม่ได้เพราะว่าเค้าต้องใช้สำเนาสลิปเพื่อส่งเก็บเงินจากเอเจนท์ที่ขายตั๋วต่างๆ ถ้าไม่มีก้อเก็บไม่ได้แล้วพวกเค้าก็ต้องจ่ายเอง (พอฟังแล้วก้อเห็นใจเค้าเหมือนกันนะ เพราะก้อเป็นหน้าที่ของเราในการตรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อนเดินทางนิ)

            เราสามารถดูการเดินทางได้จาก www.hyperdia.com เพราะมันจะบอกวิธีการเดินทางและราคาด้วย เราอาจเปรียบเทียบค่ารถได้ อ้อลืมบอก JR ใช้ได้กับ Shinkansen ได้แต่ไม่ใช่ทุกขบวนนะ เช่น Nozomi , Mizuho และ Hayabusa ใช้ไม่ได้ ส่วนที่ใช้ได้ คือ Kodama (อืดสุด) , Hakura , Hikari และอะไรอีกนึกไม่ออกแล้วหากันเอาเองต่อแล้วกันจ้า พอแค่นี้ดีกว่าเขียนมาเยอะแล้ว อาจจะได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่องก็คิดกันเอาเองนะ

 

 

 

HOME | ABOUT US | PRODUCTS | BLOG | WEBBOARD | CONTACT US